เมนู

อรรถกถาจุลลหัตถิปโทปมสูตร


จุลลหัตตถิปโทปมสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้:-
พึงทราบวินิจฉัยในจุลลหัตถิปโทปมสูตรนั้นดังต่อไปนี้ บทว่า สพฺ-
พเสเตน วฬวาภิรเถน
ความว่า รถที่เทียมด้วยลา 4 จำพวก ขาวสิ้นที่
ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ได้ยินว่า ม้าขาว มีเครื่องประดับขาวที่เทียมแล้ว รถขาว
มีเครื่องประดับขาว มีบริวารขาว รัศมีขาว แส้ขาว ฉัตรขาว อุณหิสขาว
ผ้าขาว รองเท้าขาว พัดด้วยพัดวาลวิชนีขาว. ก็ธรรมดาว่ารถนี้มี 2 อย่าง
คือ รถรบกับรถประดับ. บรรดารถทั้ง 2 นั้น รถรบมีทรง 4 เหลี่ยม ไม่
ใหญ่นัก สามารถจุคนได้ 2-3 คน รถประดับคันใหญ่ทั้งยาวทั้งกว้าง. ในรถ
ประดับ คน 8 คน หรือ 10 คน คือคนกั้นร่ม คนถือพัดวีชนี คนถือพัดใบตาล
สามารถจะยืน นั่ง หรือนอนได้ตามสะดวก แม้รถนี้ชื่อว่ารถประดับอย่างเดียว.
รถนั้นทั้งหมด พร้อมด้วยล้อ หน้าต่างและธูปรถ ขลิบด้วยเงิน. ลาตามปกติ
ก็สีขาว แม้เครื่องประดับลาเหล่านั้น ก็ทำด้วยเงิน แม้เชือกที่ชุบน้ำประสาน
เงิน แม้แส้ก็ขลิบด้วยเงิน แม้พราหมณ์ก็นุ่งผ้าขาวห่มผ้าขาว ลูบไล้เครื่อง
ไล้ขาว ประดับมาลัยขาว สรวมแหวนทั้ง 10 นิ้ว ติดตุ้มหูทั้ง 2 ข้าง รวม
ความดังกล่าวมานี้เป็นต้น แม้เครื่องประดับของรถนั้น ก็เป็นเงินทั้งนั้น. แม้
พราหมณ์ผู้เป็นบริวารของพราหมณ์นั้น ก็ประดับด้วยผ้าเครื่องลูบไล้ของหอม
และมาลัยขาวอย่างนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สพฺพเสเตน
วฬวาภิรเถน.

บทว่า สาวตฺถิยา นิยฺยาติ ความว่า ได้ยินว่า ทุก 6 เดือน
พราหมณ์นั้น จะทำประทักษิณพระนครครั้งหนึ่ง. จะมีการโฆษณาล่วงหน้าไว้ว่า

พราหมณ์จะทำประทักษิณ พระนครวันเท่านี้นับจากวันนี้. คนทั้งหลายฟังเรื่อง
นั้นแล้ว พวกที่ไม่ไปจากพระนครก็ไม่ไป แม้พวกที่ไปแล้วก็กลับมาด้วยหมาย
จะชมสิริสมบัติของผู้มีบุญ. วันใด พราหมณ์ทำประทักษิณพระนคร วันนั้น
แต่เช้าตรู่ ผู้คนก็จะกวาดถนนในพระนคร เกลี่ยทราย โปรยดอกไม้พร้อม
ข้าวตอก ตั้งหม้อน้ำที่มีน้ำเต็ม ยกต้นกล้วยและธง ทำพระนครทั้งสิ้นให้หอม
ตระหลบไปด้วยกลิ่นธูป. แต่เช้าตรู่ พราหมณ์ก็อาบน้ำดำเกล้า กินอาหาร
เบาก่อนอาหารหนัก แต่งตัวด้วยผ้าขาวเป็นต้น โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล
ลงจากปราสาทแล้วขึ้นรถ. ครั้งนั้นพราหมณ์เหล่านั้น ประดับด้วยผ้าเครื่อง
ลูบไล้และมาลาขาวทั้งสิ้น ถือร่มขาวล้อมชาณุโสณิพราหมณ์นั้น. ต่อแต่นั้น
ก็แจกผลไม้น้อยใหญ่แก่พวกเด็กรุ่น ๆ ก่อนทีเทียว เพื่อให้มหาชนประชุมกัน
ต่อแต่นั้นก็โปรยมาสก และกหาปณะ มหาชนก็ชุมนุมกัน ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้อง
กึกก้องและยกผ้าโบกสะบัดไปทั่ว. ลำดับนั้น เมื่อมังคลิกพราหมณ์และโสวัตถิก
พราหมณ์เป็นต้น ทำการมงคลและสวัสดิ์มงคล ทำประทักษิณพระนครด้วย
สมบัติอันใหญ่. มนุษย์ผู้มีบุญทั้งหลายก็ขึ้นไปปราสาทชั้นเดียวเป็นต้น เปิด
หน้าต่างและประตูเสมือนภาชนะขาวมองดู. ฝ่ายพราหมณ์มุ่งหน้าไปทางประตู
ด้านทิศใต้ ประหนึ่งครอบพระนครไว้ด้วยสมบัติ คือ ยศและสิริของตน.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สาวตฺถิยา นิยฺยาติ.
บทว่า ทิวาทิวสฺส แปลว่าวันของวัน อธิบายว่า เวลากลางวัน .
บทว่า ปิโลติกํ ปริพฺพาชกํ ได้แก่ ปริพาชกผู้ได้ชื่อโดยเรียกเป็นเพศหญิง
อย่างนี้ว่า ปิโลติกา. ได้ยินว่า ปริพาชกนั้นเป็นหนุ่มอยู่ในปฐมวัย มีวรรณ
ดังทองคำเป็นพุทธอุปฐาก กระทำอุปัฏฐากพระตถาคต และพระมหาเถระแต่
เช้าตรู่ ถือเอาไม้ 3 อันและเครื่องบริขารมีคณโฑน้ำเป็นต้น ออกจากพระ
เชตวัน เดินมุ่งหน้าไปทางพระนคร. ชาณุโสณิพราหมณ์นั้นเห็นปิโลติกปริ-

พาชกนั้นเดินมาแต่ไกล. บทว่า เอตทโวจ ความว่า ชาณุโสณิพราหมณ์
จำได้ว่า ปิโลติกปริพาชก เคยมาสำนักโดยลำดับ จึงกล่าวคำระบุโคตร
ตระกูลว่า เชิญซิ ท่านวัจฉายนะไปไหนมา. ในบทว่า ปณฺฑิโต มญฺญติ
นี้ มีความอย่างนี้ว่า ท่านวัจฉายนะยังสำคัญพระสมณโคดมว่าเป็นบัณฑิตอยู่
หรือไม่เล่า. บทว่า โก จาหํ โภ ความว่า ข้าพเจ้าจะรู้ความมีปัญญาและ
ความฉลาด ของพระสมณโคดม ได้แต่ไหนเล่า. ด้วยคำว่า โก จ สมณสฺส
โคตมสฺส ปญฺญาเวยฺยตฺติยํ ชานิสฺสามิ
นี้ ปิโลติกปริพาชกแสดงว่า
คนไม่รู้ แม้ทุกประการอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าจักรู้ความมีปัญญาและความฉลาด
ของพระสมณโคดมได้แต่ที่ไหน จักรู้ด้วยเหตุไร. ด้วยบทว่า โสปิ นูนสฺส
ตาทิโส จ
นี้ ปิโลติกปริพาชก แสดงว่า ผู้ใดจะพึงรู้ความมีปัญญาและ
ความฉลาดของพระสมณโคดม แม้ผู้นั้น ก็ต้องบำเพ็ญบารมี 10 บรรลุพระ
สัพพัญุตญาณเป็นพระพุทธเจ้าเช่นนั้น ผู้ต้องการจะวัดภูเขาสิเนรุ ภูเขา
หิมวันต์ แผ่นดิน หรืออากาศควรจะได้ไม้หรือเชือกประมาณเท่านั้น แม้ผู้จะรู้
พระปัญญา ของพระสมณโคดม ก็ควรจะได้พระสัพพัญญุตญาณเสมือนพระญาณ
ของพระองค์นั่นเทียว. ท่านกระทำการกล่าวย้ำไว้ในที่นี้ โดยความเอื้อเฟื้อ.
บทว่า อุฬาราย แปลว่า สูงสุด ประเสริฐสุด. บทว่า โก จาหํ โภ
ความว่า เราจะพึงสรรเสริญพระสมณะโคดม ได้แต่ไหน. บทว่า โก จ
สมณํ โคตมํ ปสํสิสฺสามิ
ความว่า ข้าพเจ้าจักสรรเสริญด้วยเหตุไร. บทว่า
ปสฏฺฐปฺปสฏฺโฐ ความว่าเป็นผู้ประเสริฐ โดยคุณของตนเหนือคนอื่น โดย
คุณทั้งปวงที่ชาวโลกเขาสรรเสริญเเล้ว
พระองค์ไม่มีกิจคือสรรเสริฐด้วยคุณอย่างอื่น เปรียบเหมือน
ดอกจัมปา ดอกอุบล ดอกปทุม หรือจันทน์แดง ย่อมสดใสและมี
กลิ่นหอมโดยสิริแห่งสีและกลิ่นของมัน มันไม่มีกิจที่จะชมเชยโดยสีและกลิ่นที่

จรมา และเปรียบเหมือนแก้วมณีหรือดวงจันทร์ ย่อมโอภาสโดยแสงสว่าง
ของตนเท่านั้น มันหามีกิจด้วยแสงสว่างด้วยอย่างอื่นไม่ ฉันใด พระสมณ
โคดม ก็ฉันนั้น เป็นผู้อันบัณฑิตสรรเสริญ ชมเชยโดยคุณของตน
ที่โลกทั้งปวงเขาสรรเสริญแล้ว คือให้ถึงความประเสริฐสุดแห่งโลกทั้งปวง
พระองค์หามีกิจคือการสรรเสริญด้วยการสรรเสริญอย่างอื่นไม่ อีกนัยหนึ่ง
เป็นผู้ประเสริฐ กว่าผู้ประเสริฐทั้งหลาย แม้เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ปสัฏฐัปป-
สัฏฐะ ผู้ประเสริฐสุดกว่าผู้ประเสริฐสุดทั้งหลาย. ก็คนอื่น ๆ เหล่าไรเล่า
ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด. พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นผู้ประเสริฐกว่าชาวกาสี
และโกศลทั้งหลาย พระเจ้าพิมพิสาร เป็นผู้ประเสริฐกว่าชาวอังคะและชาว
มคธะ เจ้าลิจฉวี กรุงเวสาลี ประเสริรกว่าชาวแคว้นวัชชี เจ้ามัลละกรุงปาวา
เจ้ามัสละกรุงโกสินารา แม้เจ้านั้น ๆ องค์อื่น ประเสริฐกว่าชาวชนบทนั้น ๆ
พราหมณ์มีจังกีพราหมณ์เป็นต้น ประเสริฐกว่าหมู่พราหมณ์ทั้งหลาย อุบาสก
มีท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นต้น ประเสริฐกว่าหมู่อุบาสก อุบาสิกา มีนาง
วิสาขาอุบาสิกาเป็นต้นประเสริฐกว่าอุบาสิกาหลายร้อย ปริพาชก มีสกุลุทายิ
เป็นต้น ประเสริฐกว่า ปริพาชกหลายร้อย. มหาสาวิกา มีอุบลวรรณาเถรี
เป็นต้น ประเสริฐกว่าภิกษุณีหลายร้อย พระมหาสาวก มีพระสารีบุตรเถระ
เป็นต้น ประเสริฐกว่าภิกษุหลายร้อย เทพทั้งหลาย มีท้าวสักกะเป็นต้น
ประเสริฐกว่าเทพทั้งหลาย พรหมทั้งหลาย มีมหาพรหมเป็นต้น ประเสริฐ
กว่าพรหมหลายพัน ท่านเหล่านั้น ย่อมชมเชย ยกย่อง สรรเสริญ พระทสพล
หมดทุกคน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านจึงเรียกว่า ปสัฏฐัปป
สัฏฐะ ประเสริฐกว่าผู้ประเสริฐ. บทว่า อตฺถวสํ แปลว่า อานิสงส์ประโยชน์.
ครั้งนั้น ปริพาชก เมื่อบอกเหตุแห่งความเลื่อมใสของตนแก่
ชาณุโสณิพราหมณ์นั้น จึงกล่าวว่า เสยฺยถาปิ โภ กุสโล นาควนิโก

เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาควนิโก ได้แก่บุรุษ ผู้เรียนศิลปะ
ชาวนาควัน. ก็บุรุษผู้เรียนศิลปะจากผู้อื่น เรียกว่า นาควนิกะ. บทว่า
จตฺตาริ ปทานิ ได้แก่บทคือญาณ คือรอยคือญาณ 4 อธิบายว่า ฐานที่
ญาณเหยียบ. บทว่า ปณฺทิเต ในคำว่า ขตฺติยปณฺทิเต เป็นต้น ได้แก่
ผู้ประกอบด้วยความเป็นบัณฑิต. บทว่า นิปุเณ แปลว่า ผู้ละเอียดคือผู้รู้
อรรถอันละเอียด ได้แก่ผู้สามารถแทงตลอดอรรถอันละเอียดอื่น ๆ. บทว่า
กตปรปฺปวาเท ได้แก่ รู้ปรัปปวาท และทำการย่ำยีปรัปปวาทะ. บทว่า
วาลเวธิรูเป แปลว่า เสมือน นายขมังธนูผู้ยิงขนทราย. บทว่า เต ภินฺทนฺตา
มญฺเญ จรนฺติ ความว่า เที่ยวไปประหนึ่งทำลายทิฏฐิของผู้อื่น แม้อย่าง
ละเอียดด้วยปัญญาของตนเหมือนนายขมังธนูผู้ยิงขนทราย. บทว่า ปญฺหํ
อภิสงฺขโรนฺติ ได้แก่ ตั้งปัญหา 2 บทบ้าง 3 บทบ้าง 4 บทบ้าง. บทว่า
วาทํ อาโรเปสฺสาม ได้แก่ยกโทษขึ้น. บทว่า น เจว สมณํ โคตมํ ปญฺหํ
ปุจฺฉนฺติ
ความว่า เพราะเหตุไรจึงไม่ถาม.
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงธรรมท่ามกลางบริษัท
จึงทรงตรวจดูอัธยาศัยของบริษัท แต่นั้นก็ทรงเห็นว่า ขัตติยปัณฑิตเหล่านั้น
มาแต่งปัญหาที่ลี้ลับ ชื่อว่า โอวัฏฏิกสารูปัญหาวกวน พระองค์มิได้ถูก
ขัตติยบัณฑิตถามเลย เมื่อตรัสถามปัญหาเหล่านี้ว่า ในการถามปัญหา มีโทษ
เพียงเท่านี้ ในการตอบปัญหา มีโทษเพียงเท่านี้ ในอรรถ บท อักขระ
มีโทษเพียงเท่านี้ พึงตรัสถามอย่างนี้ เมื่อจะทรงตอบ พึงตอบอย่างนี้
เพราะฉะนั้น จึงทรงใส่ไว้ในระหว่างธรรมกถา แล้วทรงกำจัดปัญหา
ที่ขัตติยบัณฑิตนำมาแต่งเป็นโอวัฏฏิกปัญหาเสียด้วยประการฉะนี้. เหล่าขัตติย
บัณฑิตย่อมจะดีใจว่า เป็นการดีสำหรับเราหนอ ที่พวกเราไม่ต้องถาม
ปัญหานี้ ก็ถ้าพึงถามไซร้ พระสมณโคดมพึงทอดทิ้งพวกเราให้หมดที่พึง.

อีกอย่างหนึ่ง ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเมื่อแสดงธรรมย่อมแผ่
เมตตาไปยังบริษัท มหาชนย่อมมีจิตเลื่อมใสในพระทศพล ด้วยการแผ่
เมตตา. ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระรูปพระโฉมเลอเลิศ น่าชม มีพระ-
สุรเสียงไพเราะ มีพระชิวหาอ่อนนุ่ม มีไรพระทนต์เรียบสนิท ตรัสธรรม
เหมือนโสรจสรงหทัยด้วยน้ำอมฤต. ณ ที่นั้น คนเหล่านั้นที่มีจิตเลื่อมในเพราะ
ทรงแผ่เมตตา ก็มีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราไม่อาจทำตัวเป็นข้าศึกกับพระผู้มี
พระภาคเจ้า ผู้ตรัสพระวาจาไม่เป็นสอง พระวาจาไม่เป็นโมฆะ พระวาจา
ที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ เห็นปานฉะนี้ จึงไม่ทูลถาม เพราะตนเลื่อมใสเสียแล้ว.
บทว่า อญฺญทตฺถุํ แปลว่า โดยส่วนเดียว. บทว่า สาวกา สมฺปชฺชนฺติ ได้แก่
เป็นสาวกโดยการถึงสรณะ. บทว่า ตทนุตฺตรํ ตัดบทเป็น ตํ อนุตฺตรํ. บทว่า
พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ได้แก่ พระอรหัตผลอันเป็นที่สุดแห่งมรรคพรหม
จรรย์. จริงอยู่ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมบวชเพื่ออรหัตผลนั้น. บทว่า
มนํ วต โภ อนสฺสาม ความว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าเราไม่พึงเข้าไปเฝ้าไซร้
เราจะพึงเสียหา เพราะเพียงไม่ได้เข้าใกล้เล็กน้อยเท่านี้ แต่พวกเราไม่ได้เสีย
หายเลย ด้วยเหตุเพียงเข้าเฝ้า. บทที่ 2 ก็เป็นไวพจน์ของบทต้นนั่นแหละ ใน
คำว่า อสฺสมณาว สมานา เป็นต้น ความว่า ชื่อว่า ไม่เป็นสมณะเพราะไม่
สงบบาป ชื่อว่า ไม่เป็นพราหมณ์เพราะไม่ลอยบาป และไม่ได้เป็นอรหันต์
เพราะไม่กำจัดข้าศึก คือกิเลส. บทว่า อุทานํ อุทาเนสิ ได้แก่ น้ำขึ้นซึ่งสิ่ง
ควรน้ำขึ้น. เหมือนอย่างว่า น้ำมันใดไม่สามารถจะจับเครื่องตวงอยู่ได้ ไหล
เลยไป น้ำมันนั้นท่านเรียกว่า อวเสกะ ซึมไปเอง และน้ำใดไม่อาจะติดสระอยู่
ได้ล้นไปเอง น้ำนั้นเรียกว่า โอฆะน้ำหลาก ฉันใด ถ้อยคำที่เกิดจากปีติอันใด
ย่อมไม่สามารถจะยึดหทัยไว้ได้ก็ล้นออกไปข้างนอก ไม่อยู่ข้างใน คำนั้นก็เรียกว่า

อุทาน ฉันนั้น. อธิบายว่า เปล่งคำที่เกิดจากปีติ เห็นปานฉะนี้. บทว่า
หตฺถิปโทปโม วิเคราะห์ว่า ร้อยเท้าช้างเป็นอุปมาของธรรมะนั้น เหตุนั้น
ธรรมะนั้นชื่อว่า มีรอยเท้าช้างเป็นอุปมา. ท่านแสดงว่า ธรรมนั้นย่อมไม่
บริบูรณ์กว้างขวางอย่างนี้. บทว่า นาควนิโก ได้แก่ คนต่อช้างผู้ศึกษาศิลป
ช้างแล้ว. ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร ในที่นี้จึงไม่กล่าวว่า ผู้ฉลาด.
ตอบว่า เพราะจะแสดงแบ่งให้รู้ว่า คนใดฉลาดไว้ข้างหน้า. จริงอยู่ ผู้ที่จะเข้าไป
ถ้าเป็นผู้ฉลาด เขาจะยังไม่ตกลงใจก่อน เพราะฉะนั้น ในที่นี้ ท่านจึงไม่
กล่าวว่า ผู้ฉลาด แต่กล่าวไว้ข้างหน้า.
บทว่า วามนิกา ได้แก่ ช้างพังท้องใหญ่ สั้น ไม่ยาวว่าโดยส่วนยาว.
บทว่า อุจฺจา จ นิเสวิตํ ได้แก่ ที่ที่ช้างสีในที่ลำต้นไทรเป็นต้น ซึ่งสูง 7-
8 ศอก. บทว่า อุจฺจา กฬาริกา ได้แก่ มีเท้าสูงเหมือนไม้เท้าและที่ชื่อว่า
กฬาริกา เพราะมีขนายดำแดง. เขาว่า ช้างพังเหล่านั้นมีขนายอันหนึ่งงอนขึ้น
อันหนึ่งงอนลง และทั้งสองห่างกัน ไม่ใกล้กัน. บทว่า อุจฺจา จ ทนฺเตหิ
อารญฺชิตานิ
ความว่า ที่ที่กรามตัดขาดเหมือนกับเอาขวานฟัน ในที่ลำต้น
ไทรเป็นต้น ซึ่งสูง 7-8 ศอก. บทว่า อุจฺจา กเรณุกา นาม ได้แก่ มีเท้า
ยาวเหมือนไม้เท้า และที่ชื่อว่า กเรณุกา เพราะมีขนายตูม. ได้ยินว่า ช้างพัง
เหล่านั้น มีงาตูม เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า กเรณุกา. บทว่า โส ทิฏฺฐํ
คจฺฉติ
ความว่า คนต่อช้างนั้นยังไม่ตกลงใจว่า เรามาตามรอยเท้าช้างใด
ช้างนั้น คือตัวนี้แหละ ไม่ใช่ตัวอื่น เราเห็นรอยเท้าแรกใด ยังไม่ตกลงใจว่า
จักเป็นรอยเท้าของพังค่อม เราไปเห็นรอยเท้าใดในที่ต่ำก็ยังไม่ตกลงใจว่า จักเป็น
รอยเท้าของช้างพังกฬาริกา หรือของช้างพังกเรณุกา ครั้นเห็นช้างใหญ่เท่านั้น
ก็ตกลงใจว่า รอยเท้านั้นทั้งหมด เป็นรอยเท้าของช้างใหญ่ตัวนี้นี่เอง. ในคำ
ว่า เอวเมว โข นี้ เทียบข้ออุปมาดังนี้.

พึงทราบพระธรรมเทศนาตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงละนีวรณ์ว่า เหมือน
ดงช้าง. โยคาวจรเหมือนคนต่อช้างผู้ฉลาด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือน
พญาช้าง ฌานและอภิญญาเหมือนรอยเท้าช้างใหญ่ ข้อที่พระโยคาวจรไม่ตกลง
ใจว่า ธรรมดาว่า ฌานและอภิญญาเหล่านี้ ย่อมมีแม้แก่ปริพาชกนอกพระศาสนา
เหมือนข้อที่คนต่อช้าง แม้เห็นรอยเท้าในที่นั้น ๆ ก็ไม่ตกลงใจว่า จักเป็นรอย
เท้าของช้างพังวามนิกา ของช้างพังกฬาริกาหรือของช้างพังกเรณุกา ข้อที่
พระอริยสาวกบรรลุพระอรหัตต์แล้วตกลงใจ ก็เหมือันคนต่อช้าง เห็นช้างใหญ่
แล้วก็ตกลงใจว่า รอยเท้าที่เราเห็นในที่นั้น ๆ ต้องเป็นรอยเท้าของช้างใหญ่
เชือกนี้เท่านั้น ไม่ใช่เชือกอื่น ก็แลจะทำการเทียบเคียงข้ออุปมานี้จนจนก็ควร.
แม้ในที่นี้ก็ควรเหมือนกัน. แต่ต้องยึดบทบาลีที่มาตามลำดับกระทำในที่นี้
อย่างเดียว.
ศัพท์ว่า อิธ ในคำนั้นเป็นนิบาต ใช้ในอรรถอ้างเทศะที่อยู่. อิธศัพท์
นี้นั้น บางแห่งท่านกล่าวอ้างถึงโลก เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า พระตถาคต
ย่อมอุบัติในโลกนี้.
บางแห่งท่านกล่าวอ้างถึงศาสนาเหมือนอย่างที่ท่านกล่าว
ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในศาสนานี้เท่านั้น มีสมณที่ 1 สมณที่ 2.
บางแห่งท่านกล่าวอ้างโอกาส เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เมื่อเราเป็นเทพอยู่ในโอกาสนี้นั่นแล
เราก็ได้อายุมาอีก ผู้นิรทุกข์ท่านจงรู้อย่างนี้.

บางแห่ง ท่านกล่าวอ้างถึงเพียงทำบทให้เต็มเท่านั้น เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราฉันแล้วพึงห้ามภัตเสีย. แต่ในที่นี้พึงทราบว่า
ท่านกล่าวหมายเอาโลก. ท่านอธิบายไว้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ตถาคตอุบัติในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ฯลฯ เป็นผู้ตื่นแล้วเป็นผู้จำแนกธรรม. ในศพท์เหล่านั้น
ศัพท์ว่าตถาคต ท่านกล่าวไว้พิสดารแล้วในมูลปริยายสูตร ศัพท์ว่าอรหันต์

เป็นต้น ท่านกล่าวไว้พิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค. ก็ในคำว่า โลเก อุปฺปชิชติ
นี้ บทว่า โลกมี 3 คือ โอกาสโลก สัตวโลก สังขารโลก. แต่ในที่นี้
ท่านประสงค์เอาสัตว์โลก.
พระตถาคตแม้เมื่อเกิดในสัตว์โลกย่อมไม่เกิดในเทวโลก ไม่เกิดใน
พรหมโลก ย่อมเกิดแต่ในมนุษย์โลกเท่านั้น แม้ในมนุษย์โลก ก็ไม่เกิดใน
จักรวาลอื่นเกิดในจักรวาลนี้เท่านั้น. แม้ในจักรวาลนั้นก็ไม่เกิดในที่ทุกแห่ง
ย่อมเกิดในมัชฌิมประเทศ ซึ่งยาว 300 โยชน์ กว้าง 250 โยชน์ โดยรอบ
900 โยชน์ ท่านกำหนดไว้อย่างนี้คือ ทิศบูรพา มีนิคมชื่อว่า กชังคละ
ต่อแต่นั้นเป็นมหาสาละ ต่อแต่นั้นเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิม
ชนบท ทิศอาคเนย์มีแม่น้ำ ชื่อว่า สัลลวดี ต่อแต่นั้นเป็นปัจจันตชนบท
ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท ในทิศทักษิณมีนิคม ชื่อว่า เสตกัณณิกะ ต่อนั้น
เป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท ในทิศปัจฉิม มีบ้านพราหมณ์
ชื่อว่า ถูนะ ต่อนั้นเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท ในทิศ
อุดรมีภูเขา ชื่อว่า อุสีรธชะ. ต่อนั้นเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิม
ชนบท. ไม่ใช่แต่พระตถาคตอย่างเดียวเท่านั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัคร
สาวก พระอสีติมหาเถระ พระพุทธมารดา พระพุทธบิดา พระเจ้าจักรพรรดิ
และพราหมณ์มหาศาล คหบดีมหาศาลเหล่าอื่น ย่อมเกิดในมัชฌิมประเทศนี้
ทั้งนั้น. ในมัชฌิมประเทศนั้น พระตถาคต ชื่อว่า อุบัติ นับตั้งแต่เสวยข้าว
มธุปายาสทั้นางสุชาดาถวายจนถึงพระอรหัตมรรค ชื่อว่า ผู้อุบัติ ในอรหัตผล
ชื่อว่า ย่อมอุบัติตั้งแต่ออกมหาอภิเนษกรมณ์ จนถึงพระอรหัตต์ ตั้งแต่ดุสิต
ภพ จนถึงอรหัตมรรค หรือตั้งแต่บาทมูลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า
ทีปังกรจนถึงพระอรหัตมรรค ชื่อว่า ผู้อุบัติในอรหัตผล ในที่นี้ท่านหมาย
เอาภาวะที่พระตถาคตอุบัติก่อนกว่าเขาทั้งหมด จึงกล่าวว่า อุปฺปชฺชติ. จริงอยู่

ในที่นี้ได้ความว่า ตถาคโต โลเก อุปฺปนฺโน โหติ พระตถาคต ย่อม
อุบัติในโลก.
บทว่า โส อิมํ โลกํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงแสดง
โลกนี้ว่า ควรกล่าว ณ บัดนี้. บทว่า สเทวกํ แปลว่า พร้อมด้วยเทพ
ชื่อว่า สเทวกะ. พร้อมด้วยมารชื่อว่า สมารกะ พร้อมด้วยพรหมชื่อว่า สพรหมกะ
พร้อมด้วยสมณและพราหมณ์ ชื่อว่า สัสสมณพราหมณี ชี่อว่า ปชา เพราะ
เกิดทั่วไป พร้อมด้วยเทพและมนุษย์ ชื่อว่า สเทวมนุสสะ. ในคำเหล่านั้น
พึงทราบ ศัพท์ว่ากามาวจรเทพ 5 ด้วยคำว่า สเทวกะ. ศัพท์ว่า กามาวจรเทว
ที่ 6 ด้วยคำว่า สมารกะ ศัพท์ว่า พรหมกายิกะเป็นต้น ด้วยคำว่า สพรหมกะ
ศัพท์ว่า สมณและพราหมณ์ ผู้เป็นข้าศึกศัตรูของพระศาสนา และผู้สงบบาป
ผู้ลอยบาป ด้วยคำว่า สัสสมณพราหมณี ศัพท์ว่า สัตตโลก ด้วยคำว่า ปชา
ศัพท์ว่า เทพโดยสัมมุติเทพและมนุษย์ที่เหลือด้วยคำว่า สเทวมนุสสะ. สัตว์โลก
กับโอกาสโลก พึงทราบว่าท่านถือเอาด้วย 3 บท สัตว์โลกอย่างเดียวพึงทราบว่า
ท่านถือเอาด้วยอำนาจปชา ด้วยบททั้ง 2 ในคำนี้ด้วยประการฉะนี้.
อีกนัยหนึ่ง. อรูปาวจรโลก ท่านถือเอาด้วยศัพท์ว่า สเทวกะ ฉกามา-
วจรเทวโลก ด้วยศัพท์สมารกะ รูปีพรหมโลก ด้วยศัพท์สพรหมกะ มนุษยโลก
หรือสัตว์โลกที่เหลือกับเทวดาโดยสมมุติ ท่านถือเอาด้วยอำนาจบริษัท 4 ด้วย
ศัพท์ว่า สัสสมณพราหมณ์เป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง ในที่นี้ท่านกล่าวความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำให้
แจ้งโลกทั้งมวล โดยกำหนดอย่างสูง ด้วยคำว่าสเทวกะ. ลำดับนั้น เมื่อจะทรง
กำจัดความสงสัยของเหล่าชนผู้มีความคิดอย่างนี้ว่า วสวัตตีมารผู้มีอานุภาพมาก
ผู้เป็นใหญ่ในฉกามาวจรเทพแม้นั้น พระองค์ทรงกระทำให้แจ้งแล้วหรือ ดังนี้
จึงตรัสว่าสมารกํ. อนึ่ง เมื่อจะทรงกำจัดความสงสัยของเหล่าชนผู้มีความคิดว่า

พรหมผู้มีอานุภาพมากใช้องคุลีหนึ่ง แผ่รัศมีไปใน 1,000 จักรวาล แผ่รัศมี
ไปใน 10,000 จักรวาลด้วย 2 องคุลี ฯล ฯ 10 องคุลี และเสวยสุขอันเกิด
แต่ฌานสมาบัติอันยอดเยี่ยม พรหมแม้นั้นพระองค์ทรงการทำให้แจ้งแล้วหรือ
ดังนี้ จึงตรัสว่า สพฺรหฺมกํ. แต่นั้นเมื่อจะทรงกำจัดความสงสัยของเหล่าชน
ผู้มีความคิดว่า สมณพราหมณ์เป็นอันมากเป็นข้าศึกต่อพระศาสนาแม้เหล่านั้น
พระองค์ทรงกระทำให้แจ้งแล้วหรือดังนี้ จึงตรัสว่า สสฺสมณฺพฺรหฺมณึ ปชํ.
ก็แลครั้นพระองค์ทรงประกาศความที่พระองค์ทรงทำให้แจ้งมารและสมณ-
พราหมณ์เหล่านั้นอย่างสูงสุดอย่างนี้แล้ว ลำดับนั้นเมื่อจะทรงประกาศความที่
พระองค์ทรงทำให้แจ้งสัตว์โลกที่เหลือ โดยกำหนดอย่างสูง หมายถึงสมมติเทพ
และมนุษย์ที่เหลือ จึงตรัสว่า สเทวมนุสฺสํ. ในคำนี้มีลำดับ ความแจ่มแจ้ง
ดังนี้ . ก็พระโบราณาจารย์กล่าวว่า บทว่า สเทวกํ ได้แก่ โลกที่เหลือกบ
เหล่าเทวดา. บทว่า สมารกํ ได้แก่ โลกที่เหลือกับมาร. บทว่า สพฺรหฺมกํ
ได้แก่ โลกที่เหลือกับเหล่าพรหม. ท่านใส่เหล่าสัตว์ที่เข้าถึงไตรภพแม้ทั้งหมด
ลงในบททั้งสามด้วยอาการสามด้วยประการฉะนี้ เมื่อจะกำหนดถือเอาด้วยบท
ต้นทั้งสองอีก จึงกล่าวว่า สสฺสมณพฺรหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ ดังนี้
เป็นอันว่า ท่านกำหนดถือเอาไตรธาตุเท่านั้น ด้วยอาการนั้น ๆ ด้วยบททั้งห้า
ด้วยประการฉะนี้.
ในคำว่า สยํ อภิญญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ บทว่า สยํ แปลว่า
เอง. บทว่า อภิญญา แปลว่า รู้ อยิบาย รู้ด้วยญาณยิ่งของ. บทว่า
สจฺฉิกตฺวา ได้แก่ ทำให้ประจักษุ. เป็นอันท่านปฏิเสธการคาดคะเนเป็นต้น
ด้วยข้อนี้. บทว่า ปเวเทติ ได้แก่ ทำให้ตื่น ให้รู้ให้แจ้งประกาศ. บทว่า โส
ธมฺมํ เทเสติ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณํ
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
นั้นทรงอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย ทรงแสดงธรรมมีสุขอันเกิดแต่วิเวก

อันยอดเยี่ยม เมื่อทรงแสดงธรรมนั้นไม่ว่าน้อยหรือมาก ก็ทรงแสดงประการ
มีความงามในเบื้องต้นเป็นต้น. อธิบายว่า ทรงแสดงความงามความเจริญไม่มี
โทษในเบื้องต้น ทรงแสดงความงามความเจริญไม่มีโทษทั้งในเบื้องกลาง ทั้ง
ในเบื้องปลาย.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า โส ธมฺมํ เทเสติ เป็นต้นนั้น ดังต่อไปนี้
เทศนาก็มีเบื้องต้นเบื้องกลางเบื้องปลาย ศาสนาก็มีเหมือนกัน. ก่อนอื่น คาถา
แม้ 4 บาท บาทแรกชื่อว่าเบื้องต้นของเทศนา ต่อจากนั้น 2 บาท ชื่อว่า
เบื้องกลาง บาทสุดท้ายชื่อว่าเบื้องปลาย. พระสูตรที่มีอนุสนธิเดียว คำนิทาน
เป็นเบื้องต้น คำว่า อิทมโวจ เป็นเบื้องปลาย ระหว่างคำทั้งสอง ชื่อว่า
เบื้องกลาง. พระสูตรที่มากอนุสนธิ อนุสนธิแรกเป็นเบื้องต้น อนุสนธิท้าย
เป็นเบื้องปลาย ตรงกลางอนุสนธิเดียว สองอนุสนธิ หรือมากอนุสนธิเป็น
เบื้องกลาง. ส่วนศาสนา ศีลสมาธิวิปัสสนา ชื่อว่าเป็นเบื้องต้น. สมจริงดังคำที่
ท่านกล่าวไว้ว่า อะไรเป็นเบื้องต้นของกุศลธรรม ศีลที่บริสุทธิ์ดีและทิฏฐิที่ตรง.
อริยมรรคที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย มีมัชฌิมาปฏิปทาที่ตถาคต
ตรัสรู้เองยิ่งแล้ว ชื่อว่าเบื้องกลาง ผลและนิพพานชื่อว่าเบื้องปลาย. จริงอยู่
ผลท่านเรียกว่าเบื้องปลายในคำนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ พรหมจรรย์นี้มีประโยชน์
อย่างนี้ มีสาระอย่างนี้ มีเบื้องปลายอย่างนี้. นิพพานท่านเรียกว่าเบื้องปลาย
ในคำนี้ว่า ท่านวิสาขะ อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ที่หยั่งในพระนิพพาน มีนิพพาน
เป็นเบื้องหน้า มีนิพพานเป็นเบื้องปลาย. ในที่นี้ท่านประสงค์เอาเบื้องต้น
เบื้องกลางและเบื้องปลายของเทศนา. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรง
เแสดงธรรม ทรงแสดงศีลเป็นเบื้องต้น แสดงมรรคเป็นเบื้องกลาง แสดง
นิพพานเป็นเบื้องปลาย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โส ธมฺมํ เทเสติ
อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ
ดังนี้. เพราะฉะนั้น
พระธรรมกถึกแม้อื่นเมื่อกล่าวธรรม

พึงแสดงศีลเป็นเบื้องต้น แสดง
มรรคเป็นเบื้องกลาง แสดงนิพพานเป็น
เบื้องหลาย นี้เป็นจุดยืน (หลัก) ของ
พระธรรมกถึก.

บทว่า สาตฺถ สพฺยญฺชนํ ความว่า เทศนาของพระธรรมกถึกใด
อาศัยพรรณนาเรื่องข้าวต้มข้าวสวยผู้หญิงผู้ชายเป็นต้น พระธรรมกถึกนั้นชื่อว่า
ไม่แสดงธรรมเป็นสาตถะมีประโยชน์ ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละเทศนา
เช่นนั้น ทรงแสดงเทศนาอาศัยสติปัฏฐาน 4 เป็นต้น เพราะฉะนั้นท่านจึง
กล่าวว่า ทรงแสดงธรรมเป็นสาตถะมีประโยชน์. อนึ่ง เทศนาของภิกษุใด
ประกอบด้วยพยัญชนะเดี่ยวเป็นต้น หรือมีพยัญชนะบอดทั้งหมด หรือมี
พยัญชนะเปิดทั้งหมดกดทั้งหมด เทศนาของภิกษุนั้น ชื่อว่า อพยัญชนะ
เพราะไม่มีความบริบูรณ์ด้วยพยัญชนะ เหมือนภาษาของคนมิลักขะเช่น เผ่า-
ทมิฬเผ่าคนป่าและคนเหลวไหลเป็นต้น. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละเทศนา
เช่นนั้น ทรงไม่แตะต้องพยัญชนะ 10 อย่าง ที่กล่าวไว้อย่างนี้ว่า
1. ลิถิล 2. ธนิต 3. ทีฆะ 4. รัสสะ
5. ลหุ 6. ครุ 7. นิคคหิต 8. สัมพันธะ
9. ววัตถิตะ 10. วิมุตตะ ซึ่งเป็นหลักการ

ขยายตัวพยัญชนะ 10 ประการ


ทรงแสดงธรรมมีพยัญชนะบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ทรงแสดง
ธรรมเป็นสพยัญชนะพร้อมพยัญชนะ. คำว่า เกวลํ ในคำว่า เกวลปริปุณฺณํ
นี้ แปลว่า สิ้นเชิง. บทว่า ปริปุณฺณํ แปลว่า ไม่ขาดไม่เกิน. ท่าน
อธิบายไว้ดังนี้ว่า ทรงแสดงธรรมุบริบูรณ์สิ้นเชิงทีเดียว แม้เทศนาสักอย่างหนึ่ง
ที่ไม่บริบูรณ์ไม่มี. บทว่า ปริสุทฺธํ แปลว่า ปราศจากความหม่นหมอง.
จริงอยู่ พระธรรมกถึกใดอาศัยธรรมเทศนานี้ แสดงธรรมด้วยมุ่งจักได้ลาภหรือ